คำนวณความหนาแน่น

คำนวณความหนาแน่น


เครื่องมือคำนวณความหนาแน่นนี้ ทำหน้าที่สร้างแผนที่แสดงความหนาแน่นจากข้อมูลจุดหรือเส้น โดยกระจายปริมาณข้อมูลที่ได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ซึ่งแสดงผลด้วยข้อมูลคุณลักษณะของจุดหรือเส้น) ทั่วทั้งแผนที่ผลลัพธ์ที่ได้คือชั้นข้อมูลของพื้นที่ที่แบ่งกลุ่มข้อมูลจากที่มีความหนาแน่นน้อยที่สุดไปยังความหนาแน่นมากที่สุด

สำหรับข้อมูลนำเข้าประเภทจุด จุดแต่ละจุดควรแสดงค่าพิกัดของเหตุการณ์หรือปรากฎการณ์ใดๆ และชั้นข้อมูลผลลัพธ์นี้ยังแสดงจำนวนเหตุการณ์ต่อพื้นที่ 1 หน่วยด้วยค่าความหนาแน่นที่สูงกว่าในตำแหน่งใหม่แสดงถึงข้อมูลจุดที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งนั้นมีจำนวนมากขึ้นในกรณีอื่นๆ ชั้นข้อมูลผลลัพธ์สามารถแปลความหมายได้ถึงเหตุการณ์ความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยเช่นกันตัวอย่างเช่น หากนำเข้าข้อมูลจุดที่แสดงตำแหน่งของฟ้าผ่า ชั้นข้อมูลผลลัพธ์จะแปลความหมายถึงความเสี่ยงของการเกิดฟ้าผ่าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับการนำเข้าข้อมูลเส้น การแสดงความหนาแน่นด้วยข้อมูลเส้นแสดงถึงจำนวนเส้นทั้งหมดที่อยู่ใกล้กับแต่ละตำแหน่งหน่วยในการคำนวณความหนาแน่นคือความยาวของเส้นต่อ 1 หน่วยพื้นที่ตัวอย่างเช่น หากใช้ข้อมูลเส้นแทนแม่น้ำ ชั้นข้อมูลผลลัพธ์จะแสดงจำนวนความยาวทั้งหมดของแม่น้ำที่อยู่ภายในรัศมีการค้นหาผลลัพธ์นี้สามารถนำไปใช้ในการระบุพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการดูแลสัตว์

กรณีศึกษาอื่นของเครื่องมือนี้ มีดังนี้ :

ใช้การนับจำนวนฟิลด์


จัดเตรียมฟิลด์ที่ระบุจำนวนเหตุการณ์ในแต่ละสถานที่ตัวอย่างเช่น หากคุณมีข้อมูลจุดที่แสดงตำแหน่งเมือง คุณสามารถใช้ฟิลด์แสดงจำนวนประชากรของเมืองตามจำนวนที่นับฟิลด์ได้ และชั้นข้อมูลผลลัพธ์ที่แสดงความหนาแน่นของจำนวนประชากรจะคำนวณความหนาแน่นของประชากรจำนวนมากที่อยู่ใกล้กับเมืองที่มีประชากรจำนวนมาก

ถ้ามีการใช้ตัวเลือกตั้งต้นเป็น ไม่มี หรือ None แต่ละตำแหน่งจะแสดงการนับจำนวนแทน

ค้นหาระยะทาง


ใส่ข้อมูลระยะทางเพื่อระบุขอบเขตการค้นหาข้อมูลจุดหรือข้อมูลเส้น เมื่อทำการคำนวณค่าความหนาแน่นตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการค้นหาระยะทาง 10,000 เมตร ความหนาแน่นของตำแหน่งต่างๆ ในชั้นข้อมูลที่ได้จะถูกคำนวณจากฟีเจอร์ที่อยู่ในระยะทาง 10,000 เมตรแต่หากตำแหน่งเหล่านั้น ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นในระยะทาง 10,000 เมตร จะปรากฏค่าความหนาแน่นเป็นศูนย์

หากไม่มีการระบุระยะทางไว้ ค่าตั้งต้นจะถูกคำนวณจากตำแหน่งของฟีเจอร์ที่นำเข้าและค่าฟิลด์ที่นับได้ (หากมีค่าฟิลด์นั้น)

ตัดผลลัพธ์ไปยัง


ไม่ว่าจะเป็นการวาดหรือการจัดเตรียมชั้นข้อมูลที่ระบุพื้นที่ที่คุณต้องการคำนวณความหนาแน่นตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังแก้ไขความหนาแน่นของจำนวนปลาที่อยู่ในทะเลสาบ คุณสามารถใช้พารามิเตอร์แสดงขอบเขตของทะเลสาบและผลลัพธ์ที่ได้จะแสดงเฉพาะข้อมูลที่อยู่ในขอบเขตของทะเลสาบ

จำแนกประเภทโดย


เลือกวิธีการกำหนดค่าความหนาแน่น เพื่อนำมาจัดแบ่งในพื้นที่

  • Equal interval—การแบ่งกลุ่มพื้นที่ตามช่วงค่าความหนาแน่นแต่ละช่วงห่างเท่ากัน
  • Geometrical interval—การแบ่งกลุ่มพื้นที่ตามการจัดช่วงชั้นด้วยลำดับขนาดของข้อมูล ด้วยวิธีนี้จะมั่นใจได้ว่าการจัดช่วงชั้นของข้อมูลจะมีค่าใกล้เคียงกันในแต่ละช่วง โดยในแต่ละช่วงจะมีข้อมูลที่มีค่าใกล้เคียงกัน
  • Natural breaks—การแบ่งช่วงชั้นของพื้นที่ตามการเกาะกลุ่มของข้อมูล การแบ่งช่วงชั้นนี้จะกำหนดการจัดกลุ่มตามข้อมูลที่มีค่าใกล้เคียงกันให้อยู่ในช่วงเดียวกัน ขึ้นอยู่กับจำนวนช่วงชั้นสูงสุดที่ต้องการ
  • Equal area—การแบ่งกลุ่มพื้นที่โดยให้ขนาดของพื้นที่โดยรวมในแต่ล่ะช่วงเท่ากัน ตัวอย่างเช่น ถ้าชั้นข้อมูลผลลัพธ์มีจำนวนของค่าที่มีความหนาแน่นสูงมากกว่า จำนวนของค่าที่มีค่าความหนาแน่นต่ำ พื้นที่ส่วนมากจะแสดงเป็นความหนาแน่นสูง
  • Standard deviation—พื้นที่ถูกสร้างตามค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ได้จากการประเมินจากค่าความหนาแน่นทั้งหมด

จำนวนของประเภท


กำหนดจำนวนช่วงชั้น (ช่วงค่าที่คาดการณ์) ในชั้นข้อมูลผลลัพธ์แต่ละช่วงชั้นจะกำหนดขอบเขตของพื้นที่ค่าที่ได้จากแต่ละช่วงชั้นถูกกำหนดโดย การจัดช่วงชั้นด้วย ตัวแปรด้านบน

ผลลัพธ์ในหน่วยพื้นที่


ระบุผลลัพธ์หน่วยพื้นที่ความหนาแน่นคือจำนวนต่อพื้นที่ และค่าพารามิเตอร์นี้จะระบุหน่วยของพื้นที่ในการคำนวณความหนาแน่น

ชื่อชั้นข้อมูลผลลัพธ์


เป็นชื่อชั้นข้อมูลที่จะถูกสร้างใน เนื้อหาของฉัน และเพิ่มเข้าไปในแผนที่ ชื่อตั้งต้นจะอ้างอิงจากประเภทการวิเคราะห์และชื่อชั้นข้อมูลที่วิเคราะห์ ถ้าชั้นข้อมูลนี้มีอยู่แล้ว คุณจะถูกถามให้ตั้งชื่อใหม่

ช้ บันทึกผลลัพธ์ใน รายการตัวเลือก เพื่อระบุชื่อของโฟล์เดอร์ใน เนื้อหาของฉัน เมื่อบันทึกผลลัพธ์